
กองกำลังประชาชนฝึกหญิงชาวมัณฑะเลย์เข้าร่วมรบ ท่ามกลางกฎหมายเกณฑ์ทหารที่กำลังจะบังคับใช้
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงในท้องถิ่นระบุว่า กองกำลังประชาชนในเขตเมืองมัณฑะเลย์กำลังฝึกอบรมการรบให้กับผู้หญิงในบางอำเภอ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดอว์ ธีตาร์ ยุ มน ผู้นำกองกำลังประชาชนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารเมียนมาร์ ได้จัดฝึกอบรมที่เขตเมืองมยินจาน, เซา, ตองตา และนวาโทจี
นักเคลื่อนไหวในเขตเซากล่าวว่า “โดยเฉพาะในเขตซีมี มีการฝึกผู้หญิงจำนวนมาก หลายคนเข้าร่วมการฝึกอบรม จำนวนผู้หญิงที่เข้าร่วมต่อหมู่บ้านอาจมีราว 200 คน” รายงานระบุว่า ดอว์ ธีตาร์ ยุ มน ได้ใช้กฎหมายเกณฑ์ทหารหญิงที่กำลังจะมีผลบังคับใช้เป็นเครื่องมือจูงใจให้เข้าร่วมการฝึกของกองกำลังประชาชน
ก่อนหน้านี้ กำลังพลของดอว์ ธีตาร์ ยุ มน มีประมาณ 700 นาย แต่หลังจากการสรรหาทหารหญิงเพิ่มขึ้น จำนวนกำลังพลทั้งชายและหญิงเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,000 นาย
หญิงสาวคนหนึ่งที่เข้าร่วมการฝึกกล่าวว่า “พวกเขามอบสิทธิประโยชน์ให้ และบางคนที่ไม่มีความเข้าใจด้านการเมืองก็มองว่านี่เป็นโอกาสในการหางานทำ ขณะเดียวกันกองทัพก็ให้การสนับสนุนด้านเงินทุน”
ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้บัญชาการทหารภาคกลางได้มอบอาวุธเพิ่มเติมให้แก่ดอว์ ธีตาร์ ยุ มน ปัจจุบันหน่วยของเธอมีอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยและกระสุนเพียงพอ แหล่งข่าวทางทหารระบุว่าทหารในกองกำลังของเธอได้รับเงินเดือนเทียบเท่ากับข้าราชการ พร้อมสวัสดิการสำหรับครอบครัวของพวกเขา
ปัจจุบัน กองกำลังประชาชนในมยินจานสามารถควบคุมพื้นที่ห่างจากตัวเมืองเพียง 1 ไมล์ และไม่สามารถขยายอิทธิพลไปยังเขตนวาโทจีและตองตาได้ ส่งผลให้สถานการณ์ทางการทหารในพื้นที่อยู่ในภาวะนิ่งเงียบ
อ้างอิง: Myanmar Peace Monitor

กองทัพเมียนมาร์ทิ้งระเบิดโจมตีวัด ฆ่าพลเรือน 40 ราย รวมถึงพระและเด็ก
กองทัพเมียนมาร์ทำการโจมตีทางอากาศในพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศ ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 40 ราย รวมถึงพระสงฆ์และเด็ก ตามรายงานของกลุ่มกบฏที่ให้สัมภาษณ์กับ Radio Free Asia เมื่อวันจันทร์
จำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีของกองทัพเมียนมาร์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่กำลังขยายตัว ขณะที่หน่วยงานให้ความช่วยเหลือด้านอาหารรายใหญ่ประกาศลดการสนับสนุนเนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ
เมียนมาร์ตกอยู่ในภาวะสงครามตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารในปี 2021 โค่นล้มรัฐบาลพลเรือนที่นำโดย อองซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ นับตั้งแต่นั้นมา มีพลเรือนเสียชีวิตหลายพันคน หมู่บ้านถูกเผาทำลาย และประชาชนราว 3.5 ล้านคนต้องพลัดถิ่นจากสงครามและภัยธรรมชาติ กองทัพเมียนมาร์เผชิญแรงต่อต้านที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากคนหนุ่มสาวในกลุ่มชาติพันธุ์พม่าส่วนใหญ่ที่ร่วมมือกับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ ทำให้กองทัพต้องพึ่งพากำลังทางอากาศมากขึ้นในการโจมตีพื้นที่พลเรือน อ้างอิงจากรายงานของกลุ่มสิทธิมนุษยชนและกลุ่มกบฏ
“พวกเขาจงใจโจมตีพลเรือน” ลเว ยาย อู โฆษกกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอาง (TNLA) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ในรัฐฉานที่มีพรมแดนติดกับจีน กล่าว
การโจมตีวัดเซอินยาดานาร์ ในเมืองหนองโจ รัฐฉาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 13 ราย รวมถึงพระสงฆ์ 6 รูป ซึ่ง 4 รูปเป็นสามเณร ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 17 ราย ในจำนวนนี้เป็นพระสงฆ์ 13 รูป โฆษก TNLA กล่าวเพิ่มเติม เธอกล่าวว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นความพยายามของกองทัพเมียนมาร์ในการกดดัน TNLA ให้กลับเข้าสู่การเจรจาสันติภาพ ซึ่งจีนซึ่งมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในเมียนมาร์กำลังพยายามเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย
นักวิเคราะห์สิทธิมนุษยชนระบุว่า กองทัพเมียนมาร์มักพยายามลดทอนการสนับสนุนของประชาชนต่อกลุ่มกบฏ ด้วยการโจมตีหมู่บ้านและชุมชนพลเรือน
ลเว ยาย อู กล่าวย้ำว่า “ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ากองทัพกำลังมุ่งเป้าโจมตีพลเรือนโดยตรง พวกเขาจงใจโจมตีศาสนสถานในหนองโจ และยังทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาล… พวกเขายังเผาทำลายบ้านเรือนอีกด้วย”
เธอไม่ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับโอกาสในการเจรจากับกองทัพเมียนมาร์ ซึ่งขณะนี้กำลังพยายามยับยั้งการรุกคืบของกลุ่มกบฏในปีที่ผ่านมา ขณะที่เตรียมการเลือกตั้งภายในเดือนมกราคม ซึ่งหวังว่าจะช่วยเพิ่มความชอบธรรมให้รัฐบาลทหารทั้งในประเทศและระดับสากล ทางกองทัพเมียนมาร์ไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ขณะที่ RFA พยายามติดต่อ พล.ต. ซอ มิน ตุน โฆษกกองทัพ แต่ไม่สามารถติดต่อได้
อ้างอิง: Radio Free Asia

KNU ระบุว่าได้ควบคุมตัวทหารที่รับผิดชอบต่อเหตุยิงพลเรือนและเด็กที่ด่านตรวจของ KNLA
สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) เปิดเผยว่าผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ยิงพลเรือนเสียชีวิตที่ด่านตรวจของกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ในหมู่บ้านซินโทจี เมืองกะเซโด เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถูกควบคุมตัวแล้ว
แหล่งข่าวจาก KNLA กองพลที่ 4 ระบุว่าทหารที่เกี่ยวข้องถูกกองพันที่ 12 ควบคุมตัวไว้ และกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการส่งต่อไปยังกองบัญชาการของกองพลเพื่อดำเนินการตามระเบียบวินัย
“ถ้าทำผิดก็ต้องถูกส่งตัวไปที่กองบัญชาการเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ผู้บังคับกองพันที่ 12 ได้แจ้งเรื่องนี้ไว้แล้ว ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ยังมาไม่ถึงที่หมาย ทหารเหล่านี้ยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่กองพัน” เจ้าหน้าที่จาก KNLA กองพลที่ 4 กล่าว
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 19.00 น. ขณะที่คู่สามีภรรยาชาวบ้านจากหมู่บ้านพีต๊อกจี ขับขี่รถจักรยานยนต์พาลูกน้อยไปโรงพยาบาลในเมืองปลอค เขตเมืองพะโล รัฐตะนาวศรี ทว่าระหว่างทางพวกเขาถูกยิงที่ด่านตรวจของ KNLA กองพันที่ 12 เนื่องจากไม่ได้หยุดรถตามคำสั่ง
จากเหตุการณ์นี้ สามีเสียชีวิตทันที ขณะที่ภรรยาซึ่งกำลังอุ้มลูกทารกพยายามหนี แต่เด็กน้อยพลัดตกจากมือและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตามรายงานของชาวบ้านในพื้นที่ กรณีดังกล่าวจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักบนโซเชียลมีเดีย ประชาชนเรียกร้องให้ KNLA ลงโทษผู้ก่อเหตุอย่างเด็ดขาดและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
เมื่อถูกสอบถามถึงแนวทางดำเนินการกับทหารที่เกี่ยวข้อง พะโดซอแอนนา ประธานเขตเบต-ทวายของ KNU ตอบว่า ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ในขณะนี้
อ้างอิง: Myanmar Peace Monitor

MOEAA ระงับรับจ้างงานแรงงานข้ามชาติฉบับใหม่ จนกว่าคิวเก่าจะเคลียร์
สมาคมตัวแทนจัดหางานเมียนมาร์ในต่างประเทศ (MOEAA) แจ้งเตือนบริษัทจัดหางานว่า หนังสือขอจ้างงานแรงงานข้ามชาติฉบับใหม่จะได้รับการพิจารณาหลังจากที่เคลียร์รายชื่อแรงงานที่รออยู่ก่อนแล้วเท่านั้น ตามรายงานของเจ้าของบริษัทจัดหางานที่ให้สัมภาษณ์กับ DVB
MOEAA เป็นองค์กรไม่ใช่ภาครัฐที่ทำงานร่วมกับกระทรวงแรงงานของรัฐบาลทหารเมียนมาร์
“เราไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ผมคิดว่าโอกาสสำหรับแรงงานใหม่ยังมีไม่มาก” เจ้าของบริษัทจัดหางานที่ขอไม่เปิดเผยชื่อกล่าว
หนังสือขอจ้างงานเป็นเอกสารทางการที่นายจ้างต่างชาติหรือบริษัทจัดหางานในต่างประเทศออกเพื่อขอแรงงานจากเมียนมาร์ในจำนวนที่กำหนด สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาร์ในต่างประเทศที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารมีหน้าที่ตรวจสอบเอกสารดังกล่าว และส่งรายงานไปยังกระทรวงแรงงานในกรุงเนปยีดอว์ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่บริษัทจัดหางานในเมียนมาร์สามารถยื่นคำร้องขอหนังสือขอจ้างงานไปยังกระทรวงแรงงานได้
ทั้งนี้ มีแรงงานประมาณ 70,000 คนที่ลงนามในสัญญาจ้างแล้ว แต่ยังรอรับบัตรประจำตัวแรงงานข้ามชาติ (OWIC) โดยกระบวนการออกบัตรมีกำหนดกลับมาดำเนินการในวันที่ 20 มีนาคม หลังจากหยุดไปหนึ่งเดือน ตามกฎหมายการจ้างงานในต่างประเทศของเมียนมาร์ปี 1999 แรงงานข้ามชาติต้องมีบัตร OWIC ซึ่งมีอายุ 5 ปี จึงจะสามารถเดินทางไปทำงานในต่างประเทศได้ กระทรวงแรงงานเป็นผู้เก็บข้อมูลของผู้ถือบัตร OWIC โดยตรง
แม้ว่ากระบวนการขอ OWIC สามารถดำเนินการได้ภายในวันเดียว แต่แรงงานต้องยื่นคำขออนุญาตเดินทางผ่านกรมแรงงานทางออนไลน์อย่างน้อย 5 วันทำการก่อนออกเดินทาง ซึ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อวันที่ 17 มีนาคม
นอกจากนี้ หนังสือแจ้งเตือนจาก MOEAA ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม เป็นต้นไป จะมีการจำกัดจำนวนหนังสือขอจ้างงานที่แต่ละบริษัทจัดหางานสามารถยื่นได้ และจะแจ้งให้บริษัททราบภายหลังว่าพวกเขาสามารถรับสมัครแรงงานได้จำนวนเท่าใด ในขณะเดียวกัน รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมาร์ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลคู่ขนานที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร ประกาศยุบ MOEAA เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2024 โดยให้เหตุผลว่าองค์กรดังกล่าวทำงานร่วมกับกระทรวงแรงงานภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารเพียงฝ่ายเดียว
อ้างอิง: DVB English

กองกำลังต่อต้านชินเสียชีวิต 2 นาย หลังปะทะเดือดกับทหารรัฐบาลในฟาลาม
กองกำลังป้องกันชาติชิน (CNDF) ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตร Chin Brotherhood เปิดเผยกับ DVB ว่า นักรบต่อต้านรัฐบาลทหาร 2 นาย รวมถึงผู้บัญชาการกองพัน เสียชีวิตหลังได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับกองทัพรัฐบาลเมียนมาร์ในเมืองฟาลาม ทางตอนเหนือของรัฐชิน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ฟาลามตั้งอยู่ห่างจากกรุงฮักค่า เมืองหลวงของรัฐชิน ไปทางเหนือราว 65 กิโลเมตร (41 ไมล์)
“แม้ว่าเราจะสูญเสียสมาชิกไปบางส่วน แต่เรายังคงได้เปรียบในสมรภูมิ ฝ่ายรัฐบาลทหารสูญเสียทหารและอาวุธเป็นจำนวนมาก ขณะที่บางส่วนหนีออกจากฐาน” ซาไล ทิมมี โฆษก CNDF กล่าวกับ DVB
การสู้รบในฟาลามเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม และทวีความรุนแรงขึ้นในวันที่ 16 มีนาคม กองทัพรัฐบาลทหารตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศใส่จุดยึดครองของฝ่ายต่อต้าน ขณะนี้ยังคงมีการสู้รบเพื่อแย่งชิงฐานทัพของกองพันทหารราบเบา (LIB) 268 ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของกองทัพรัฐบาลในเมืองฟาลาม
กลุ่มพันธมิตร Chin Brotherhood เปิดฉากโจมตีเมืองฟาลามตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ปัจจุบัน กองกำลังต่อต้านชินสามารถควบคุมพื้นที่ 15 จาก 20 เมืองในรัฐชิน รวมถึงเมืองริคฮาวดาร์ บริเวณพรมแดนเมียนมาร์-อินเดีย
นอกจากนี้ กองทัพอาระกัน (AA) ได้เข้ายึดเมืองปาเลตวา ทางตอนใต้ของรัฐชิน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2024
อ้างอิง: DVB English

รัฐบาลทรัมป์สั่งระงับพนักงาน VOA และสื่อที่ได้รับทุนจากสหรัฐฯ สร้างแรงกระเพื่อมต่อเสรีภาพสื่อ
รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศระงับการปฏิบัติงานของพนักงานจาก Voice of America (VOA), Radio Free Asia และสื่ออื่น ๆ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้กิจกรรมขององค์กรที่ถูกมองว่าเป็นกระบอกเสียงประชาธิปไตยในประเทศต่าง ๆ เช่น จีนและรัสเซีย ต้องหยุดชะงักลง
พนักงานหลายร้อยคนจาก VOA, Radio Free Asia, Radio Free Europe และหน่วยงานอื่น ๆ ได้รับอีเมลแจ้งว่าพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าที่ทำงาน พร้อมกับคำสั่งให้คืนบัตรประจำตัวนักข่าว โทรศัพท์ และอุปกรณ์การทำงานทั้งหมด
การประกาศดังกล่าว ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิเสรีภาพสื่อ เกิดขึ้นหลังจากทรัมป์ออกคำสั่งให้หน่วยงานที่กำกับดูแลสื่อเหล่านี้อย่าง US Agency for Global Media (USAGM) ถูกจัดเป็น “องค์ประกอบที่ไม่จำเป็นของระบบราชการกลาง”
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งโพสต์ข้อความ “ลาก่อน” ใน 20 ภาษา บนแพลตฟอร์ม X (Twitter เดิม) เพื่อเป็นการประชดประชันต่อคำสั่งดังกล่าว
VOA เป็นสื่อกระจายเสียงที่เข้าถึงผู้ฟังกว่า 350 ล้านคนต่อสัปดาห์ทั่วโลก ตามสถิติของ USAGM
ด้านผู้อำนวยการ Radio Free Europe/Radio Liberty ซึ่งเคยออกอากาศในยุคสงครามเย็นเพื่อส่งสารไปยังประเทศในกลุ่มโซเวียต มองว่าการตัดงบประมาณครั้งนี้เป็น “ของขวัญชิ้นใหญ่” ให้กับศัตรูของสหรัฐฯ
“พวกอายะตุลลอฮ์แห่งอิหร่าน ผู้นำคอมมิวนิสต์ในจีน และพวกเผด็จการในมอสโกและมินสค์ คงพอใจกับการหายไปของ RFE/RL หลังจากดำเนินการมา 75 ปี” สตีเฟน คาโพส ผู้อำนวยการขององค์กรกล่าวในแถลงการณ์
Radio Free Asia ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1996 มีเป้าหมายรายงานข่าวที่ไม่ถูกเซ็นเซอร์ในประเทศที่มีการจำกัดเสรีภาพสื่อ เช่น จีน เมียนมาร์ เกาหลีเหนือ และเวียดนาม
อ้างอิง: Brussel Times