น้ำ-กัลยา กับ Seeds Journey การเล่าเรื่องรากเหง้าวัฒนธรรม ชุมชน ภูมิปัญญา และสิ่งแวดล้อมผ่านความรุ่มรวยทางอาหาร

ชีวิตของคนธรรมดาอย่างน้ำ-กัลยา เชอมื่อ สนุกมาก

หนึ่ง-เธอทำงานขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมตั้งแต่เด็กผ่านเครื่องมือที่หลากหลาย ซึ่งถ้าลองลิสต์ประเด็นที่เธอขับเคลื่อนในฐานะเยาวชนนักเคลื่อนไหวสังคมมากางดู เชื่อเถอะ น่าจะครบเกือบทุกเรื่องแล้ว

สอง-การทำงานในประเด็นคนไร้สัญชาติ เรื่องนี้เธอก็ขับเคลื่อนอย่างจริงจังและจริงใจตั้งแต่เด็กจนโต เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่มากๆ อยู่ในช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งจากการขับเคลื่อนประเด็นเหล่านั้น จากเด็กไร้สัญชาติคนหนึ่ง วันนี้เธอได้สัญชาติไทยแล้ว

สาม-คนทำงานทีวี เธอเป็นเบื้องหลังรายการสารคดีให้กับไทยพีบีเอสในสามรายการ สองกรอบใหญ่ๆ คือ เด็กและอาหาร นั่นทำให้เธอเริ่มอินกับเรื่องอาหารมากขึ้น ประกอบกับการเป็นนักศึกษานิเทศศาสตร์ เธอจึงเห็นพลังของสื่อในการขับเคลื่อนและพลวัตสังคมไปข้างหน้า

สี่-เธอทำกลุ่มเล็กๆ ชื่อ Seeds Journey เล่าเรื่องความยั่งยืนทางอาหารผ่านมื้ออาหารและการเดินทางไม่ว่าจะเล็กใหญ่ ทั้งเรื่องความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมอาหาร แหล่งวัตถุดิบและรากเหง้าของชุมชนในจังหวัดเชียงราย รวมถึงเรื่องสำคัญอย่างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) เหล่านี้ทำให้เธอได้มีโอกาสร่วมงานกับองค์กรใหญ่ๆ เพื่อส่งพลังของอาหาร

ถ้าเปรียบเปรยว่าชีวิตของคนๆ หนึ่งเป็นอาหารสักคอร์ส อาหารที่เล่าเรื่องของน้ำได้อย่างชัดเจนและครอบคลุม เห็นว่าจะต้องเป็นอาหารที่มีวัตถุดิบหนักๆ เพื่อเล่าความยากลำบากในการผ่านอุปสรรคของน้ำ เคล้าเครื่องปรุงที่เพิ่มความเข้มข้นจากประสบการณ์ที่เธอพบผ่าน ก่อนจะแนมด้วยพืชผักนานาชนิดที่มีทั้งความกรอบกรุบ แต่ก็ให้คุณค่าทางอาหาร เหมือนคุณค่าทั้งทางจิตใจและสังคมที่น้ำได้รับจากการทำงาน และมันสามารถสะท้อนฉากหลังบ้านเกิดของน้ำได้เป็นอย่างดี ก่อนตบท้ายด้วยขนมหวานที่ไม่ได้หวานจัด เพราะความสำเร็จของสิ่งที่เธอทำนั้น ยังต้องหาหนทางในการต่อยอดเพื่อความยั่งยืน

เชิญทุกคนรับประทานอาหารคอร์สพิเศษนี้ไปด้วยกัน

Enjoy ค่ะ, อันนี้น้ำไม่ได้บอก เราบอกเอง

Amuse-Bouche
ฉันคือคนไร้สัญชาติ

น้ำเติบโตมาจากการทำงานช่วยพี่ๆ ที่ศูนย์การเรียนบ้านนานา (มูลนิธิพันธกิจเด็กและชุมชน) อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ภาพที่เธอเห็นอย่างชินตามาตั้งแต่เล็กแต่น้อยคือ ภาพของคนไร้สัญชาติที่พบเจอกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตแทบทุกมิติ น้ำจึงต้องกลายเป็นผู้นำของเด็กๆ ผ่านการดูแลน้องๆ รวมถึงเป็นอาสาสมัครในการช่วยงานต่างๆ ตามแต่โอกาสจะอำนวย

น้ำเล่าถึงความยากลำบากที่เธอเจอในตอนนั้นว่า เธอคลุกคลีกับคนไร้สัญชาติที่ทั้งถูกหลอกไปขายโดยขบวนการค้ามนุษย์ เด็กเล็กที่ไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่เพราะพวกเขาไม่พร้อมจะเลี้ยงดู หรือเด็กๆ ที่ถูกนำมาทิ้งด้วยเหตุผลอื่นๆ จากการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเหล่านั้น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้น้ำอยากทำงานเพื่อสังคม จนเวลาล่วงเลยผ่านไป น้ำจึงสมัครเป็นอาสาสมัครสอนภาษาไทยที่มูลนิธิช่วยไร้พรมแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (พิมพ์ถูกแล้ว-คนละองค์กรกับเพื่อนไร้พรมแดน)

น้ำที่มาเป็นอาสาสมัครก็ได้เห็นการช่วยเหลือจากองค์กรภาคประชาสังคม หรือองค์กรสาธารณกุศลในประเทศไทย ทั้งการสนับสนุนให้เยาวชนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงการได้มีที่อยู่ซึ่งปลอดภัยกับตัวเขา 

แต่เรายอมรับ-เราก็ยังไม่เข้าใจว่าคนไร้สัญชาติเผชิญกับอะไร เราเลยรบกวนให้น้ำขยายความฉากทัศน์และสถานการณ์เหล่านั้นให้เราฟัง

“เราไม่สามารถทำงานอย่างที่เราอยากทำได้ หรือถ้าเลือกได้ ค่าแรงเราจะต่ำมาก” น้ำเริ่มเล่า

“แม้แต่งานประสานงานหรือว่ารายการในตอนนั้น เราไม่สามารถไปได้ใช่ไหม เพราะเราไม่มีสัญชาติ ค่าแรงหรือว่าส่วนที่เราควรจะได้ เราก็ไม่ได้ตามสิทธิ์ เพราะว่าเราเดินทางไปทำงานกับทีมไม่ได้ในต่างจังหวัด แทนที่เราจะได้สามารถดูแลตัวเองได้ด้วยเงินเดือนปกติเราก็ไม่ได้ซึ่งอันนี้ก็เป็นข้อจำกัดซึ่งเราทำได้แต่ว่าเราเดินทางไม่ได้ แล้วค่าแรงเราก็น้อยกว่าแรงงานสัญชาติไทย อย่าว่าแต่เงินเดือนเลยค่ะ วันหยุดเราก็ไม่ได้เท่าแรงงานสัญชาติไทย คุณภาพชีวิตเราก็คือเราไม่ได้แน่นอน”

เรื่องที่ถือว่าสำคัญอีกเรื่องที่มีผลต่อน้ำในช่วงวัยรุ่นคือ เธอไม่สามารถเข้าถึงทุนการศึกษา หรือกองทุนกู้ยืมใดๆ จากหน่วยงานไหนได้เลย เพราะกติกาของกองทุนที่บังคับให้ผู้สมัครทุนต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น

“เรื่องสำคัญต่อมาคือ การเดินทางออกจากพื้นที่อำเภอของตัวเอง หนูก็โดนจับ อย่างเช่นว่า ถ้าเราเดินทางออกจากอำเภอแม่สาย เราต้องขออนุญาตผู้ใหญ่บ้าน แล้วก็เอาไปให้ปลัดอนุมัติเรา อย่างเช่น พอไปถึงเชียงใหม่เราก็ต้องไปรายงานตัวที่เชียงใหม่เพื่อให้เซ็นอนุญาต บอกว่าเราจะอยู่ที่ไหน แล้วพอจะกลับต้องรายงานต้นทางก่อนแล้วกลับมารายงานปลายทางด้วย เราไม่มีสิทธิ์ไปนอกจากพื้นที่ที่เราขอ ถ้าเราอยากไปเที่ยวภูเก็ต ในสมัยนั้นคือเราไม่มีสิทธิ์ขอ ยกเว้นแต่ว่าญาติเข้าโรงพยาบาล ญาติป่วยหนัก เราถึงจะสามารถขออนุมัติในการเดินทางได้”

Appetizer
สาวห้างที่เรียนนิเทศศาสตร์ และทำละครได้นิดหน่อย

จากการตัดสินใจร่วมกันระหว่างน้ำและเพื่อนๆ ในบ้านมานา พวกเธอจึงลงมาต่อสู้ชีวิตในเมืองหลวงตามแบบของตัวเอง

น้ำที่เข้าสู่ระบบการศึกษาจนถึงระดับ ปวช. ก็เข้าสู่โลกใบใหม่ในระดับอุดมศึกษาผ่านการเป็นนักศึกษาที่คณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยทำงานล่วงเวลาในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งเป็นงานเสริม ซึ่งอย่างที่บอกว่า เธอถูกกดขี่ในมิติการจ้างงานเป็นอย่างมาก ซึ่งน้ำไม่ปล่อยให้ใจแห่งการทำงานเพื่อสังคมต้องห่อเหี่ยว เธอจึงไปเป็นอาสาสมัครให้กับคณะละครกั๊บไฟ ที่มีโครงการซึ่งทำงานร่วมกับเด็กๆ ในชุมชนที่จังหวัดเชียงใหม่กว่า 17 โรงเรียนพร้อมๆ กับการทำงานเพื่อช่วยเหลือการได้มาซึ่งสถานะบุคคลของคนไร้สัญชาติในจังหวัดเชียงใหม่

งานทั้งหมดนี้คือ ความแตกต่างที่ไม่น่ามาบรรจบกันได้

“ความแตกต่างก็คือ เราเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้มาทำงานประเด็นสังคมจ๋าๆ ขนาดนั้น เพราะว่าอย่างที่แม่สอดก็จะเป็นประเด็นค่อนข้างแรง แต่ว่าตอนที่มาทำที่เชียงใหม่มีความเป็นกิจกรรมที่เข้าไปทำงานกับเด็กๆ และเยาวชนในพื้นที่แม่ฮ่องสอนกับเชียงใหม่ ความรู้สึกของเราก็จะเหมือนกับตัวเราเองที่เหมือนเป็นเด็กๆ ที่เข้ามาอยู่ในเมือง ที่มีความจำเป็นต้องมาหาเงินอยู่ในเมือง แล้วเราจะทำยังไงให้สามารถป้องกันตัวเอง ดูแลตัวเองได้จากสังคมที่เราอาจจะถูกหลอกก็ได้ ช่วงนั้นก็ตื่นเต้น ด้วยความที่มันมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเชียงใหม่มันเยอะมาก”

ถ้าอยากรู้ว่าเส้นทางของน้ำหลากหลายและน่าตื่นเต้นขนาดไหน ลองอ่านย่อหน้าต่อไป

น้ำทำงานห้างประกอบกับการทำงานละครที่สื่อสารเรื่องสัญชาติ เด็กๆ ที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐาน ขบวนการค้ามนุษย์ รวมถึงยังได้ทำงานเพื่อพี่น้องไร้สัญชาติ

เป็นไงล่ะ นี่คือเส้นทางชีวิตนอกเวลาเรียนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนะ 

สำหรับน้ำแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันสนุก ท้าทาย และมันทำให้เธอเห็นว่า เธอมีตัวเลือกในชีวิตมากกว่าที่เธอสามารถทัดทานได้ เธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานห้างสรรพสินค้าและมาทำงานขับเคลื่อนเต็มตัวไปพร้อมๆ กับการเรียนปริญญาตรี

Soup
วันนี้ที่รอคอย

ข้อดีของการทำงานเคลื่อนไหวในแบบของน้ำ และการเรียนสื่อสารมวลชนคือ การได้เข้าใกล้คนทำงานสื่อ ซึ่งทำงานสื่อสารในประเด็นแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับเธอ

นอกจากอาชีพที่ยึดโยงกับการขับเคลื่อนสังคมแล้ว น้ำยังถูกชักชวนจากรุ่นพี่ให้มาช่วยงานกองถ่ายรายการสารคดีที่ผลิตรายการส่งให้กับไทยพีบีเอส ซึ่งนั่นเป็นแรงบันดาลใจสำคัญมากๆ ที่ทำให้เธอเลือกเส้นทางชีวิตแบบหนึ่งๆ ซึ่งจะส่งผลกับเธอไปอีกนานหลายปี

“หนูไม่สนอะไรแล้ว สนใจแค่ว่าให้เราได้ออกจากห้างที่เราทำงานประจำตรงนั้นให้ได้” น้ำว่า

การทำงานในโลกใบใหม่ของน้ำ เธอได้เดินทางขึ้นเหนือ ล่องใต้ ออกอีสาน ลงภาคกลาง ปะทะสังสรรค์กับแหล่งข้อมูลโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ ขวางกั้น หมายถึงว่า ต้นสังกัดดูแลและจัดการงานเอกสารเพื่อการเดินทางทั้งหมด ทำให้น้ำสามารถเดินทางได้อย่างคล่องตัวโดยไม่ต้องกังวลอะไร

น้ำบอกว่าสิ่งนี้ทำให้เธอเป็น “คนทั่วไป” มากขึ้น

ส่วนเนื้อหาที่เธอดูแลอยู่ มีทั้งสารคดีที่เล่าประเด็นสุดเข้มข้นอย่าง ทางผ่านของบีระ…ชีวิตไร้รากของเด็กเร่ร่อน ซึ่งเล่าเรื่องการเอาตัวรอดของอดีตเด็กเร่ร่อน 5 คน รวมถึงรายการที่สื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อมแบบเป็นมิตรกับผู้ชมทุกเพศทุกวัยอย่าง Nature Spy สายลับธรรมชาติ จนไปถึงเชฟน้อยกินเปลี่ยนโลก เรียลลิตี้ที่พาไปสืบเสาะความรุ่มรวยของอาหาร คุณค่า ภูมิปัญญาพื้นถิ่นที่อาหารมีอิทธิพลต่อผู้คนในชุมชน และครัวเชฟน้อย ที่พูดถึงความมั่นคงทางอาหารจากสายตาของเด็กด้วยอาหารพื้นถิ่นจริงๆ

ตอนต่อตอน รายการต่อรายการ น้ำที่รับงานเบื้องหลังให้กับสารคดีและเรียลลิตี้เหล่านี้เริ่มรู้จักผู้คนในแวดวงการทำงานในวงต่างๆ จนได้เจอกับพี่ๆ ที่ทำประเด็นเรื่องสัญชาติมากขึ้น นำไปสู่การแลกเปลี่ยนบทสนทนาและความยากลำบากที่น้ำเผชิญว่า ทำไมเธอยังไม่ได้สัญชาติอีก ทั้งๆ ที่เธอทำงานหนักขนาดนี้

“ที่จังหวัดเชียงราย ทุกๆ 6 เดือนจะมีการอนุมัติสัญชาติ รุ่นพี่ของหนูคนนึงทำอีเวนต์เรื่องน้ำ เรื่องอาหารก็เล่าให้หนูฟังว่า มีกรณีศึกษาว่า เด็กไร้สัญชาติที่สร้างคุณประโยชน์ให้พื้นที่ตัวเอง ทำไมถึงไม่ได้สัญชาติ หนูเลยได้ขึ้นเวทีๆ หนึ่งเพื่อจะไปพูดว่า ทำไมเราต้องได้สัญชาติ ต่อหน้าคณะกรรมการต่างๆ ที่ให้การอนุมัติสัญชาติในเชียงราย รวมถึงนายอำเภอ และผู้ใหญ่คนอื่นๆ เราก็พูดถึงความยากลำบากเหล่านั้น แล้วก็ความเสียเปรียบที่เราเจอ เลยเป็นที่มาที่ไปในการได้สัญชาติ เพราะว่าพอทำงานประเด็นสังคมตรงนี้ เครือข่ายทุกคนก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้นด้วย” น้ำเล่าให้เราฟังอย่างภาคภูมิใจ

Main Course
Seeds Journey

หลังจากการถ่ายทำรายการสิ้นสุดลง น้ำก็อยู่ในสถานะใกล้จบการศึกษาและว่างงานจากการไม่มีคิวถ่าย เธอใช้โอกาสนั้นเข้าไปที่หมู่บ้านห่างไกลในจังหวัดเชียงราย จากคำชักชวนของเพื่อนที่ทำงานร่วมกับชาวปกาเกอะญอ ครั้งนั้นเธอได้สัมผัสวิถีชีวิต รวมถึงการทำอาหารผ่านวัตถุดิบและพืชพันธุ์ที่เธอคุ้นเคย เช่น หอมแส้มา รากชู เป็นต้น นั่นทำให้เธอได้เห็นถึงความรุ่มรวยทางอาหารที่มาจากรากเหง้าจากถิ่นกำเนิด ส่งต่อเป็นแรงบันดาลใจว่า ถ้าน้ำในฐานะคนรุ่นใหม่ยังส่งต่อเรื่องราวเหล่านี้ไปถึงคนรุ่นใหม่ได้ ก็น่าจะดี

“ตอนทำรายการทีวีและอาหาร เรารู้สึกว่าการกินการปรุง หรือว่าการปลูกมีผลต่อสุขภาพแล้วก็มีผลต่อเด็กด้วย เพราะว่าคนที่เราทำงานก็คือกลุ่มเด็กเล็กแล้วก็โรงเรียนประถม เราก็คิดถึงกลไกต่างๆ ที่จะทำยังไงก็ได้ให้เด็กได้กินอาหารดี ย้อนกลับไปตอนลงพื้นที่ถ่ายรายการ เราไปที่หมู่บ้านป่าเกี๊ยะ กับหมู่บ้านปะกาเกอะญอ พื้นที่นี้ทำให้เราเห็นถึงหมู่บ้านหินลาดนอก ที่เด็กๆ ทำอาหารกลางวันแบบไปเก็บอาหารมาเองระหว่างเดินมาโรงเรียน คุณครูก็ให้เก็บไข่ไก่ ฟักทอง หรือยอดผักของตัวเองมาโรงเรียน ถ้ากลางวันอาหารยังไม่เพียงพอ คุณครูก็จะให้เด็กๆ ตำน้ำพริกในครัว ครัวหญ้าคา หรือหนูอยากกินมะเฟืองใช่ไหม เขาก็บอกว่ามาเก็บที่นี่ครับ แล้วเขาก็เอามาคั้นน้ำให้ เราก็เห็นวิถีง่ายๆ ที่นั่นที่หมู่บ้านปกาเกอะญอ แล้วเราก็กลับมาที่หมู่บ้านอาข่า พ่อหลวงกับเด็กๆ ก็พาเราไปจับปลาในลำห้วยแบบวิถีอาข่า เราก็ทำน้ำพริกกับรากชู ทำให้เราเราคิดถึงกลิ่นอายที่อยู่กับยายเราตอนเด็กๆ แบบนี้แหละคือรสชาติที่เราเคยกิน 

“แล้วเราเจอคุณยายคนนึง คุณยายก็บอกว่า นี่ ยายก็ไม่คิดว่าจะมีวัยรุ่นที่ไหนจะกลับมากินอาหารของตัวเอง แล้วก็หลงรักในอาหารตัวเอง แล้วเขาก็พูดคำหนึ่งเป็นภาษาอาข่า อันนี้คือสิ่งที่เราเจอ” น้ำเล่า

น้ำเลยชักชวนเพื่อนๆ มา “จัดกิจกรรม” ทริปเล็กๆ ที่พามาเที่ยวในชุมชนของเธอ มาสัมผัสวิถีชีวิต เรียนรู้วัฒนธรรม สำรวจชุมชน กินอาหารฝีมือคนท้องถิ่น ซึ่งมันกลายเป็นการตั้งกลุ่มเยาวชนที่ขับเคลื่อนประเด็นอาหารและบ้านเกิดในแบบที่เธอเชื่อมั่น โดยเลือกหมู่บ้านป่าเกี๊ยะ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยใช้การเชื่อมต่อจุดและค้นหาเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ ที่หมายถึงทั้งคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ รวมถึงผู้ใหญ่ในพื้นที่ซึ่งอยากส่งต่อความรู้ ส่งต่อวัฒนธรรม และอยากจัดกิจกรรมเพื่อบอกเล่าภูมิปัญญาของตน

เธอตั้งชื่อมันว่า Seeds Journey เพราะเธอเชื่อว่า การขยายพันธุ์เมล็ดพันธุ์เป็นเรื่องสำคัญ

เมล็ดพันธุ์ที่หมายถึงทั้งพืชพรรณท้องถิ่น รวมถึงเยาวชน และผู้คนในชุมชน

“สิ่งที่เราเชื่อก็คือ ถ้าพ่อแม่ในชุมชนอาข่าเราไม่ส่งต่อความรู้การเก็บเมล็ดพันธุ์ รุ่นพวกหนูมีแต่ไปทำงานต่างประเทศ แล้วคนกลับมาก็ไม่ได้กินผักของตัวเอง ถ้าคุณยายสูงอายุกว่าจากไปหมดแล้ว เราไม่มีความรู้นี้แล้วนะ พวกเราอยากจะทำเรื่องนี้ เราอยากจะจัดกิจกรรมนี้ เราอยากจะลองชวนคนอื่นมาทำทริป มาเที่ยวชุมชน มากินอาหารบ้านเรา เราอยากให้หมู่บ้านนี้มีการแบ่งปันเมล็ดพันธุ์มากขึ้น จาก 1 คนเป็น 2 คนแล้วก็ทั้งหมู่บ้าน”

Second Main Course
The Journey changes everything

จริงๆ แล้ว Seeds Journey เล่าเรื่องผ่านทริปเป็นหลัก ซึ่งจากการเริ่มจัดทริปไปได้ระยะหนึ่ง น้ำได้รับการช่วยเหลือและต่อยอดจากพี่ๆ ที่รู้จักกันทั้งในแง่การจัดกระบวนการ การเรียนรู้วิชาและองค์ความรู้จากปราชญ์ชาวบ้านเพื่อนำมาออกแบบทริป ไปจนถึงการมาเยี่ยมเยียนของแขกใหม่ๆ ซึ่งเหล่านี้มันช่วยทั้งน้ำและทีม “เล่าเรื่อง” ได้อย่างลุ่มลึกและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

นอกจากทริปในพื้นที่บ้านเกิดของน้ำ Seeds Journey ได้รับโอกาสในการเข้าไปจัดทริปในพื้นที่อื่นๆ ในรูปแบบโครงการระยะสั้น ที่เป็นรายรับทางหนึ่งที่สำคัญมาก 

น้ำบอกว่า มีความเปลี่ยนแปลงในเชิงวิถีชีวิตของชุมชนที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอยู่สามเรื่องหลังจาก Seeds Journey เริ่มดำเนินการคือ หนึ่ง-การซื้อของจากรถพุ่มพวงลดลงอย่างเห็นได้ชัด สอง-ชาวบ้านเริ่มฟื้นฟูองค์ความรู้ต่างๆ ในชุมชน เช่น การจักสาน การตีมีด เพื่อให้ผู้ร่วมทริปได้เรียนรู้ระหว่างการเดินทาง และสาม-เกิดธนาคารเมล็ดพันธุ์ ซึ่งเอาไว้ใช้เก็บและสะสมเมล็ดพันธุ์พืชท้องถิ่นที่สามารถนำมาใช้ปลูก เพื่อรอผลเอามาประกอบอาหาร ซึ่งสองข้อหลัง ผู้นำชุมชนให้การสนับสนุนจากความเชื่อมั่นในตัวทีม Seeds Journey

นอกจากนี้ การสื่อสารก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้บุคคลภายนอกรู้จัก Seeds Journey มากขึ้น ผ่านการเข้าเมืองใหญ่มาเล่าเรื่องเดิมที่เธอพูดผ่านทริปนั่นแหละ

น้ำบอกว่า นี่คือสิ่งที่น้ำทำคู่กันอย่างเป็นปกติไปพร้อมๆ กับการจัดทริปในชุมชน

“นอกจากทริปในชุมชนแล้ว พวกเรามีการสื่อสารในเมืองด้วย เช่น รับทำอาหาร จัดเวิร์กช็อป มีจัด Testing อาหารที่ทำจากวัตถุดิบในพื้นที่ จัดอีเวนต์ในเมืองด้วย เราทำคู่กัน สำหรับคนที่ไปนอนในหมู่บ้านไม่ได้ และอีกอันหนึ่งก็คือ ให้ความรู้กับร้านอาหารต่างๆ ที่สนใจในวัตถุดิบหรือรากเหง้าของเรา เพราะร้านอาหารบางร้านเริ่มมีความต้องการว่า เธอช่วยมาติวความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบท้องถิ่นให้เราหน่อย อันนี้ก็เป็นเหมือนรายได้อีกทางหนึ่ง ที่เราจะอยู่ได้ไม่ใช่แค่ทริป แล้วเราก็ส่งวัตถุดิบบางอย่างไปให้กับร้านอาหารต่างๆ ทั่วประเทศไทย แล้วก็เป็นการทำงานกับร้านอาหารด้วย” น้ำอธิบาย

จากความตั้งใจดีและความพยายามของน้ำและทีม Seeds Journey น้ำจึงได้รับคำชักชวนจากองค์กรต่างๆ ให้ขึ้นไปเล่าเรื่องของเธอบนเวทีใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ อย่างที่เราพอเห็นบ้างก็มีทั้ง UNDP หรืองาน Thailand Rice Fest ของ The Cloud ไปจนถึงเวทีเสวนาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสังคมอีกหลายเวที

น้ำบอกว่า เหล่านี้ไม่ได้สะท้อนแค่ประเด็นสิ่งแวดล้อมหรือความมั่นคงทางอาหารเท่านั้น แต่มันยังพูดถึงประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์อีกด้วย

“สิ่งเหล่านี้แหละ เหมือนเป็นต้นทุนหนึ่ง ภูมิคุ้มกันหนึ่งที่ทำให้คนสามารถที่จะเปิดใจ เข้าใจในความเป็นชาติพันธุ์ ความเป็นชนเผ่าของเมืองไทยด้วย การที่เราได้มาเติบโตตรงนี้ เราก็เชื่อมั่นว่าเราเป็นคนที่มีคุณค่า เป็นคนที่มีคุณภาพได้ ศักยภาพแบบเล็กๆ สิ่งที่เราทำได้เล็กๆ แบบคนเล็กๆ แล้วเราอาจจะทำสิ่งเล็กๆ แต่ว่ามันเขย่าสิ่งที่ใหญ่ ถ้าวันหนึ่งเราได้มองกลับไปแล้วก็ไปเชื่อมดู อันนี้ก็เป็นความเชื่อในสิ่งที่ว่าเรายังทำ เรายังมีพลังในการทำ แล้วก็สื่อสาร แล้วก็สร้างชุมชนที่เข้มแข็งในแบบเล็กๆ เพื่อป้องกันตัวชุมชน แล้วก็เป็นการรักษาวิถีของบ้านเราด้วย”

Dessert
Next Journey

Seeds Journey ขยายเส้นทางใหม่ไปในอีกหลายชุมชนที่จังหวัดเชียงราย พร้อมกับจำนวนสมาชิกเพื่อนร่วมทีมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการสร้างชุมชนที่บอกเล่าความมั่นคงทางอาหารนั้นประสบความสำเร็จอย่างดี เพราะชาวบ้านในชุมชนให้ความสำคัญกับการรับประทานมากขึ้น การขยายประเด็นไปยังชุมชนอื่นๆ จึงเป็นความท้าทายและโอกาสที่น้ำอยากลองขยายพื้นที่ให้ไกลกว่าเดิม 

เพราะจุดประสงค์สำคัญหลังจากนี้ของ Seeds Journey คือ อยากเห็นผู้คนพึ่งพาตัวเองได้  รวมถึงการสื่อสารประเด็นนี้ในพื้นที่เมืองใหญ่ให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นผ่านการจัดกิจกรรมที่สามารถนำวัตถุดิบในชุมชนมาเล่าเรื่องผ่านมื้ออาหารให้เข้าถึงคนเมืองได้มากยิ่งขึ้น ในระยะใกล้คือ การนำมันเข้าถึงผู้คนให้ได้มากที่สุด

ส่วนในระยะไกลคือ การเปิดร้านอาหารของตัวเอง

“เราอยากพัฒนาวัตถุดิบต่างๆ ที่อยู่ในชุมชน ที่จะสามารถสร้างมูลค่าได้ อาจจะไม่ต้องเป็นสินค้า หรือเป็นสินค้า หรืออาจจะพัฒนาเป็นวัตถุดิบที่แปรรูปพร้อมทาน อันนี้คือสิ่งที่อยากทำต่อไป ซึ่งถ้ามีโครงการในการเข้ามาพัฒนาร่วมกับชุมชน แล้วเราได้มีโอกาสพัฒนาร่วมด้วย เราว่าอยากจะให้ไปให้สุดเพราะมันช่วยในเรื่องการสร้างอาชีพ และลดมลพิษเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วย” น้ำอธิบาย

และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การอยากเห็นคนรุ่นใหม่ “กลับบ้าน” เพราะบางทีพวกเขาไม่รู้ว่ากลับบ้านไปแล้ว จะกลับไปยังไง หรือกลับไปทำอะไร Seeds Journey จึงอยากสร้างอาชีพผ่านการเล่าเรื่องอาหารในชุมชนให้เข้มข้นขึ้น รวมถึงมีรายได้และแหล่งอาหารที่เพียงพอในการดำรงชีวิต 

ซึ่งจะเป็นการสร้างระบบนิเวศทางอาหารที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

“เพราะหลายๆ คนอยากกลับบ้าน แต่เขาไม่รู้กลับมาแล้วจะยังไง หลายๆ คนแม่ปลูกผัก ปลูกอาหารเยอะแยะมากมาย แต่ไม่รู้ว่ามันกินยังไง เราก็เลยคิดว่า เราอยากจะพัฒนาร่วมกับทั้งคนรุ่นใหม่ ผู้เฒ่าผู้รู้ในชุมชนของเราด้วย ในการที่เราสามารถจะสร้างรายได้จากการไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวยังไงบ้าง พืชเชิงเดี่ยวปลูกได้แต่ว่าเราจะค่อยๆ ลดมันยังไง แล้วอีกอันนึงที่สำคัญเลยก็คือ ชาวบ้านจะมีอาหารของตัวเองเพียงพอจนไม่ต้องซื้อจากข้างนอก ก็เลยเป็นที่มาในการเพิ่มเมนู เพิ่มอาหาร เพิ่มวัตถุดิบ เพิ่มผักทุกอย่างในชุมชนตัวเองให้ได้ อันนี้ก็เป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างจะหนักเหมือนกันว่า อยากสร้างระบบบางอย่างให้ชาวบ้านพึ่งพาตัวเองได้” น้ำสรุป

ภาพ: Seeds Journey

Contributors

อาร์ตี้ แสงสุวรรณ์

ไทยแลนด์เวรี่กู้ด ไทยตุ๊ดเวรี่เวลล์