สงสัยพระอาทิตย์จะต่ำลง

เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ฉันได้มีโอกาสพบกับเพื่อนอาสาสมัครสิทธิเด็กในการจัดอบรมให้ความรู้แก่อาสาสมัคร ถึงแม้หลายคนจะเพิ่งเดินทางมาถึง แต่ทุกคนก็ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย ต่างตั้งอกตั้งใจฟังวิทยากรที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เพราะเรื่องนี้เป็นหัวข้อหลักที่พวกเขาจะนำไปจัดกิจกรรมให้กับเด็ก ๆ ในโครงการสิทธิเด็ก  ที่สำคัญการอบรมครั้งนี้มีช่วงเวลาพิเศษที่อาสาสมัครจะได้ล้อมวงพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพ่อแก่แม่เฒ่าในหมู่บ้านเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจากอดีตจนถึงปัจจุบันและภูมิปัญญาการรักษาสิ่งแวดล้อมของคนปกาเกอะญอดั้งเดิม

หลังจากทักทายทำความรู้จักจนคุ้นเคยกัน เพื่อนอาสาสมัครสิทธิเด็กก็ล้อมวงซักถามคุณตาคุณยายว่าเมื่อสมัยยังหนุ่มสาวคนในหมู่บ้านมีความเป็นอยู่อย่างไร คุณตาเล่าให้ฟังว่าหมู่บ้านนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ชาวบ้านจะแบ่งพื้นที่สำหรับทำนาและเลี้ยงสัตว์ออกจากกัน ในหมู่บ้านจึงสะอาดไม่มีขี้วัวขี้ควาย รอบ ๆ หมู่บ้านมีป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าทั้งสัตว์ใหญ่เล็ก แต่เดี๋ยวนี้อย่าพูดถึงสัตว์ใหญ่เลย แม้แต่พวกนก พวกไก่ก็ไม่ค่อยได้เห็น “สงสัยบินไปอยู่เมืองนอกกันหมดแล้วมั้ง”

พวกเราต่างหัวเราะกับอารมณ์ขันของคุณตา แต่ถึงแม้จะฟังดูตลกแต่การที่สัตว์ป่าหายไปก็ทำให้เราใจหายไม่น้อย เพราะสัตว์ป่านี่เองที่เป็นเครื่องบ่งชี้ความสมบูรณ์ของป่าที่ชัดเจนที่สุด ฉันคิดว่าความเปลี่ยนทางสภาพถูมิอากาศคงเข้ามาเยี่ยมเยือนหมู่บ้านนี้ซะแล้ว ทันใดนั้นเพื่อนอาสาสมัครคนหนึ่งที่ใจตรงกับฉันก็ถามคุณตาคุณยายว่าทุกวันนี้อากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนอย่างไร

“สงสัยพระอาทิตย์จะต่ำลง” คุณตาคนเดิมเอ่ยขึ้น แกบอกว่าปีนี้อากาศร้อนกว่าปีที่แล้วและร้อนขึ้นทุกปี วันหนึ่ง ๆ ต้องอาบน้ำถึงห้าครั้งจึงจะอยู่ได้ วันก่อนแกเอาขนุนสุกวางไว้บนบ้านแป๊บเดียวผิวขนุนก็ไหม้เสียแล้ว สมัยก่อนลมพัดเย็นมาก แต่สมัยนี้ถึงจะมีลมพัดก็จริงแต่ก็เป็นลมร้อนที่โดนแล้วไม่สบายตัว “ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้มารร้ายปกครองโลกหรือเปล่าถึงเป็นแบบนี้” คุณตาคนเดิมพูดติดตลกทำเอาทุกคนยิ้มกว้าง ฉันเห็นด้วยว่ามารร้ายที่อยู่ในใจมนุษย์ที่เห็นแก่ได้นี่แหละที่สั่งให้นตัดไม้ทำลายป่าโดยไม่คิดว่าส่งผลกระทบในภายหลังอย่างไร คุณตาคุณยายบอกว่าคนสมัยนี้ตัดไม้กันมากขึ้น สมัยก่อนจะตัดไม้ก็ต่อเมื่อจะเอาไม้ไปสร้างบ้านเท่านั้น ถ้าเป็นต้นไม้ที่ต้นใหญ่อายุมากคนก็จะไม่กล้าตัดกัน คุณตาเล่าว่าคนโบราณเคยบอกให้ฟังว่าต้นไม้แต่ละต้นจะเก็บความชุ่มชื้นให้กับดิน เท่ากับน้ำ 3 ปี๊บ เดี๋ยวนี้ไม่มีไม่มีต้นไม้แล้วพื้นดินเลยแห้งแล้งมาก

คุณตาคุณยายเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนหมู่บ้านมีสวนกล้วยเยอะ ถ้าบ่าวสาวปลูกกล้วยตอนแต่งงาน เมื่อมีลูกก็จะทันได้เอากล้วยมาเลี้ยงลูกพอดี การปลูกต้นไม้อย่างกล้วยในบ้านนอกจากจะทำให้หมู่บ้านร่มรื่นเย็นสบายแล้ว ชาวบ้านยังได้ใช้ประโยชน์จากส่วนต่าง ๆ ของกล้วย อย่างที่คุณยายใช้ใบตองในการห่อข้าวไปกินในไร่ทั้งหอมและอร่อยกินข้าวได้เยอะ

คุณยายเล่าว่าคนสมัยก่อนใช้วัสดุจากธรรมชาติรอบ ๆ ตัวมาประดิษฐ์เครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นใช้เศษไม้ ไม้ไผ่นำมาทำรองเท้าเวลาใส่ไปทำไร่ เสื้อผ้าก็ถักทอจากฝ้ายที่ปลูกเองใส่แล้วไม่ร้อน สีก็ย้อมจากเปลือกไม้ธรรมชาติไม่ซีดจางเร็ว ชีวิตของคุณตาคุณยายในสมัยนั้นไม่ได้พึ่งพาความเจริญจากภายนอกมากนัก เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็ต้องซื้อจากร้านค้าที่เอาของจากในเมืองมาขาย เพื่อนอาสาสมัครก็ช่วยเสริมว่าเครื่องมือเครื่องใช้สมัยใหม่มักทำจากพลาสติกซึ่งย่อยสลายยาก ไม่เหมือนของที่พวกคุณตาคุณยายใช้นอกจากไม่ต้องซื้อหาแล้วยังช่วยรักษาธรรมชาติอีกด้วย

ถึงวงสนทนาเลิกราไปฉันยังประทับใจคำว่า “สงสัยพระอาทิตย์จะต่ำลง” ของคุณตา คำนี้อธิบายได้ชัดเจนว่าอากาศร้อนขึ้นมากขนาดไหนและคงจะเตือนใจให้กับใครที่ยังทำลายธรรมชาติให้หยุดเสียที เพราะคนที่ไม่รู้เรื่องจะพลอยได้รับผลกระทบโดยไปด้วย ไม่เฉพาะคน สัตว์ป่าต่างๆ ก็ไม่มีที่อยู่อาศัยด้วย สัตว์ก็เหมือนคนมันต้องการที่อยู่อาศัยถ้าไม่มีป่าให้อยู่แล้วมันจะไปอยู่ที่ไหน

การที่ฉันและเพื่อนอาสาสมัครโครงการสิทธิเด็กได้มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคุณตาคุณยายในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี เพราะนอกจากความรู้ที่ได้จากทฤษฏีที่ได้จากการอบรม พวกเรายังได้เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติจากรุ่นคุณตาคุณยายจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงได้เรียนรู้ภูมิปัญญาของคนตัวเล็ก ๆ ที่สามารถนำไปดูแลธรรมชาติรอบตัวได้จริง ความรู้และประสบการณ์เหล่านี้นี่เองที่จะถูกถ่ายทอดสู่เด็ก ๆ ในโครงการสิทธิเด็กต่อไป ฉันหวังว่าสักวันเด็ก ๆ จะได้เอาสิ่งนี้ไปใช้เพื่อชะลอให้พระอาทิตย์ไม่ต่ำลงมามากกว่านี้

Contributors

Friends Without Borders

มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน