ถ้าเปรียบชีวิตคนเราเหมือนเรือที่แล่นออกจากฝั่งในยามเช้า และกลับเข้าฝั่งเมื่อกระแสลมพัดเข้าในยามเย็น ช่วงชีวิตนี้ของผมคงเป็นเรือที่ลอยอยู่กลางทะเลอย่างไม่มีกำหนดกลับ
ผมชื่อกอไถ เป็นชาวเมืองทวาย มณฑลตะนาวศรี ถึงแม้ครอบครัวของผมจะได้รับความยากลำบากจากการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลทหารพม่าไม่มากนัก แต่สภาพเศรษฐกิจที่บีบรัด ความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่ทำให้ผมเดินทางเข้ามาทำงานที่เมืองไทยในปีที่ยี่สิบแปดของชีวิต ก่อนจากบ้าน ผมยังจำคำที่แม่ร้องขอไม่ให้มาที่นี่ได้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อชีวิตของคนยากจนอย่างผมมีทางเลือกไม่มากนัก
ความรู้สึกแรกบนแผ่นดินไทยสำหรับแรงงานที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานอย่างผมคือความหวาดกลัว ที่ทวายผมสามารถเดินเที่ยวเตร่ตามแต่สองขาจะพาไป แต่ที่เมืองไทยไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยให้ผมได้ เพื่อนที่เดินทางมาด้วยกันถูกนายหน้าแยกย้ายไปทำงานกันคนละที่ โชคยังดีที่แพปลาที่ผมทำงานมีเพื่อนจากหมู่บ้านข้าง ๆ มาอยู่ก่อนหน้า และงานบนเรือที่ต้องออกทะเลรอบละยี่สิบหกวัน ทำให้ผมอุ่นใจได้ว่าผมจะปลอดภัยจากตำรวจและเหล่านักเลงหัวไม้
ผลตอบแทนจากการทุ่มเทชีวิตให้กับงานตลอดระยะเวลาหกเดือนที่จากบ้านมา คือการได้เลื่อนขั้นจากลูกเรือเป็นรองไต้ก๋ง แต่ผมก็คงยังทำงานหนักไม่ต่างจากลูกเรือทั่วไปอยู่ดี บนเรือไม่ว่าใครจะทำงานตำแหน่งไหนเราก็ต้องช่วยเหลือแบ่งเบาภาระกันเสมอ ที่ต่างจากเดิมคือผมมีค่าแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็นค่าตอบแทนในการดูแลและสอนงานลูกเรือหน้าใหม่แทนไต้ก๋งที่ต้องเอาเวลาไปใส่ใจกับการหาตำแหน่งฝูงปลา
เมื่อเสียงหวีดยาวดังขึ้นแปลว่างานของลูกเรืออวนดำอย่างพวกผมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง สัญญาณนกหวีดจากไต้ก๋งแสดงว่าเรือของเราเจอฝูงปลาเข้าแล้ว นายท้ายจะนำเรือวิ่งวนฝูงปลา พอกะระยะได้ที่ พวกเราก็จะทิ้งอวนสีดำซึ่งเป็นที่มาของชื่อเรือ ลงทะเล เรือจะวิ่งลากอวนไปเรื่อย ๆ จนกว่าอวนจะมาบรรจบที่เดิม หลังจากนั้นเครื่องจักรก็จะดึงอวนขึ้น พวกเราก็มีหน้าที่คัดแยกปลาแล้วจัดเก็บในห้องเย็นใต้ท้องเรือ จากนั้นจึงจัดเก็บอวนให้เป็นระเบียบ เพื่อรอพบฝูงปลาฝูงต่อไป
โลกบนเรือของเราวนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดยี่สิบหกวันหรือที่เราเรียกกันว่า“หนึ่งน้ำ” เมื่อครบหนึ่งน้ำโลกบนฝั่งก็เริ่มขึ้น เพื่อนลูกเรือหลายคนเฝ้ารอการขึ้นฝั่งอย่างจดจ่อ เพราะช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนออกเรืออีกครั้งคือเวลาที่จะได้พักผ่อนกับลูกเมีย สำหรับคนที่ยังไม่มีครอบครัวเวลานี้คือเวลาที่จะได้เที่ยวเตร่สนุกสนาน แต่ผมกลับชอบโลกบนฝั่งน้อยกว่าโลกบนเรือ ระหว่างที่รอเรือออกทะเลผมจะต้องนอนแออัดอยู่ในห้องที่เช่าร่วมกับเพื่อนแปดคน ในจำนวนนั้นมีเมียของเพื่อนที่เป็นคนงานห้องเย็นอาศัยอยู่ด้วย เธอจะทำความสะอาด ซักเสื้อผ้าและหุงหาอาหารให้เรา แต่นั่นก็หมายความว่าผมและเพื่อนชาวเรือที่ร่วมอาศัยจะต้องเสียค่าเช่าบ้านรวมกับค่าดูแลความเป็นอยู่ในช่วงที่อยู่บนบกให้กับเมียเพื่อนเดือนละห้าร้อยบาท แต่ก็ยังดีที่ช่วงหยุดเรือเรามีงานถักและซ่อมแซมอวนที่แพปลาเป็นรายได้เสริม ถึงแม้จะมีค่าตอบแทนเพียงสามวันสองร้อยบาท แต่เงินจำนวนนี้ก็ช่วยแบ่งเบาค่าเช่าบ้านโดยไม่ต้องรบกวนเงินรายได้จากการออกเรือและยังเหลือพอให้ผมไปซื้อขนม น้ำหวานกินเล่นได้บ้าง
ขึ้นฝั่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่ผมจะส่งเงินกลับไปให้แม่ ลูกเรืออวนดำอย่างพวกผมจะได้รับเงินค่าจ้างในการออกเรือเป็นรอบ ๆ หนึ่งรอบเรียกว่าหนึ่งน้ำ เมื่อครบสามน้ำเราก็จะได้รับเงินหนึ่งครั้ง รายได้ก็ตกอยู่ราวสี่ถึงห้าพันบาทสำหรับการออกเรือสามน้ำ ช่วงไหนถ้าหาปลาได้มากรายได้อาจจะเพิ่มขึ้นไปเป็นสองถึงสามหมื่นบาทต่อสามน้ำ รายได้ของชาวเรืออาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับคนที่ทำงานบนบก แต่บนเรือเราไม่มีรายจ่ายอะไร กับข้าวกับปลาก็มีพ่อครัวดูแลทำอาหารให้กินฟรี ถ้าไม่นับคนที่เอาเงินไปละลายกับการกินเที่ยวบนฝั่ง พวกเราก็มีเงินเก็บกันแทบทุกคน
เช้านี้ผมโทรศัพท์ทางไกลข้ามประเทศไปหาแม่ เพื่อนัดแนะให้แกไปรับเงินจากบริษัทรับฝากเงินข้ามประเทศที่มีสาขาตั้งอยู่ที่ทวาย แม่ยังคงพร่ำถามคำถามเดิม ๆ ว่าผมจะอยู่ยังไง จะกินยังไงด้วยความเป็นห่วง และถามว่าผมอยู่ฝั่งนี้มีเมียหรือยัง ผมตอบแม่ทันทีว่ายังไม่มีและไม่คิดจะมี จุดมุ่งหมายในชีวิตผมตอนนี้คือทำงานหาเงินจุนเจือทางบ้าน เวลาทุกนาทีที่ตื่นของผมมีไว้เพื่อทำงาน ส่วนเวลาค่ำคืนมีไว้เพื่อฝันถึงวันที่จะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับแม่และน้อง คงยังไม่ถึงเวลาที่จะปันความรักไปให้ใคร
แต่เรื่องจะมีเมียหรือไม่ก็ไม่ทำให้ผมคิดหนักเหมือนเรื่องที่เจ้าน้องชายสองคนรบเร้าแม่จะมาทำงานที่เมืองไทย คนรอง จากผมอายุสิบแปด ส่วนคนเล็กอายุสิบหก ทั้งสองกำลังอยู่ในวัยที่ร้อนรุ่มไปด้วยเลือดของคนหนุ่ม ไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง ผมหวั่นใจเหลือเกินว่าพวกเขาจะโชคดีได้งานดี ๆ ทำอย่างผมไหม ถ้าเขามาแล้วถูกตำรวจจับ ถูกนักเลงเจ้าถิ่นทำร้าย คนที่เจ็บปวดที่สุดคงเป็นแม่ รองลงมาคือผม ผมบอกแม่ว่าห้ามสองคนนั่นมาเมืองไทยเด็ดขาด หน้าที่ของพวกเขาคือเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่ผมจะส่งไหว แต่อนาคตถ้าเขาจะมาจริง ๆ ผมคงห้ามอะไรไม่ได้ เหมือนวันนั้น… วันที่แม่ก็ทัดทานผมไม่ให้มาเมืองไทยไม่ได้เช่นกัน
หลังวางสายโทรศัพท์ ผมมุ่งตรงไปยังแพปลาเพื่อรับจ้างถักอวน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฝันที่จะมีเงินทุนเพื่อเปิดร้านขายของชำที่บ้านจะเป็นจริง ไม่รู้ว่าวันที่จะได้กลับบ้านไปทำบุญไหว้พระกับแม่และน้อง ๆ จะมาถึงเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ว่าสายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาเรือชีวิตของผมไปทางไหน รู้เพียงแต่ว่าวันนี้ต้องทุ่มเทกับงานเพื่อเก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ใช้ชีวิตเหมือนเรืออวนดำที่แล่นเข้าหาฝูงปลา
และตราบใดที่ยังไม่ได้ปลา… ผมก็ยังจะไม่ขึ้นฝั่ง
เสียงชาวบ้าน ชีวิตลอยเล โดย บุตริญ
เผยแพร่ครั้งแรก มิถุนายน 2553