เพื่อนข้างบ้าน: อัพเดทสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเมียนมาประจำสัปดาห์ [21 พฤษภาคม 68]

KNU รุกหนัก! ยึดฐานทหารใกล้ชายแดนไทยต่อเนื่อง ทหารข้ามแม่น้ำเมยหนีเข้าไทย

กลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และพันธมิตรมีรายงานว่าสามารถยึดฐานทหารของกองทัพเมียนมาใกล้ชายแดนไทยในรัฐกะเหรี่ยงได้อีกแห่ง

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ซึ่งเป็นปีกติดอาวุธของ KNU และกลุ่มพันธมิตร ได้เข้ายึดฐาน Maw Phoe Kay ในเขต Paingkyon ของอำเภอ Hpa-an ทาง KNLA ให้สัมภาษณ์กับสื่อกะเหรี่ยงว่า ทหารฝ่ายรัฐบาลทิ้งฐานและหลบหนี ขณะที่สื่อไทยรายงานว่า ทหารเมียนมา 27 นายได้ข้ามแม่น้ำเมยเข้าสู่ประเทศไทย

ระหว่างการสู้รบ มีรายงานว่าประชาชนกว่า 200 คนที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่ปะทะได้ข้ามฝั่งมายังฝั่งไทยด้วยเช่นกัน

“ประชาชนหวาดกลัวว่าจะถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายรัฐบาลทหาร” นางสาว Naw Cherry จากเครือข่ายสนับสนุนสันติกะเหรี่ยง ให้สัมภาษณ์กับ The Irrawaddy

ฐาน Maw Phoe Kay เดิมเคยเป็นฐานของ KNU และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่กองพลที่ 7 ของ KNU อ้างสิทธิ์ ก่อนที่กองกำลังของเผด็จการ เนวิน จะเข้ายึดเมื่อปี 1981 ฐานแห่งนี้นับเป็นฐานที่ 8 ที่ KNU และพันธมิตรสามารถยึดคืนได้ในพื้นที่ที่กองพลที่ 7 ของ KNU อ้างสิทธิ์

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กลุ่มกบฏยังคงเปิดฉากโจมตีฐานทหารของรัฐบาลบนภูเขาในพื้นที่ Naw Tayar เขต Hpa-an ขณะเดียวกัน KNLA และ องค์กรป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNDO) ซึ่งเป็นปีกอาวุธอีกกลุ่มของ KNU ก็สามารถยึดฐาน Maw Kwee Lu ได้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว และในวันที่ 13 พฤษภาคม กลุ่มทั้งสองยังเข้ายึดฐานใหญ่ Tarlal ซึ่งเป็นฐานสำคัญอีกแห่งใน Paingkyon พร้อมยึดอาวุธและกระสุนจำนวนมาก

จากการโจมตีดังกล่าว มีทหารฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิต 9 นาย รวมถึงนายทหารยศร้อยโท ขณะที่รองผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 24 มีรายงานว่าหลบหนีจากสนามรบ

KNU และพันธมิตรยังสามารถยึดฐานทหาร Htee Khee ซึ่งตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์การค้าชายแดนไทย-เมียนมา ในเขต Dawei รัฐ Tanintharyi ได้สำเร็จในเดือนนี้ หลังจากสามารถยึดฐานสุดท้ายของกองทัพในพื้นที่ดังกล่าวได้

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม กลุ่มเคเอ็นยูยังสามารถเข้ายึดฐานบัญชาการของกองพันทหารราบเบา 598 ในเขต Shwegyin รัฐ Bago ได้ชั่วคราว นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2021 KNU ได้ฝึกและติดอาวุธให้กับนักสู้ต่อต้านรัฐบาลทหารหลายพันคน และมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งกองกำลัง People’s Defense Forces (PDF) ที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลพลเรือนเงาแห่งชาติ National Unity Government (NUG)

ปัจจุบัน KNU และพันธมิตรกำลังต่อสู้กับรัฐบาลทหารในรัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ และเขตรัฐ Tanintharyi และ Bago รวมถึงมีรายงานการโจมตีไปถึงเมืองหลวง Naypyitaw

อ้างอิง: The Irrawaddy

ทหารอินเดียยิงสังหารนักรบต้านเผด็จการเมียนมา 10 นาย บริเวณชายแดนรัฐ Manipur ส่อเค้าเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สมาชิกกองกำลังป้องกันประชาชนจากเขต Tamu ประเทศเมียนมา จำนวน 10 นาย ถูกสังหารในหมู่บ้าน New Samtal เขต Chandel รัฐ Manipur ของอินเดีย ซึ่งอยู่ติดชายแดนกับเมียนมา รายงานจากกองทัพอินเดียและสื่อภายในประเทศระบุว่า เหตุการณ์เกิดจากปฏิบัติการของ Assam Rifles หน่วยทหารรักษาความปลอดภัยแนวชายแดนของอินเดีย ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการต่อต้านผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่

แถลงการณ์ของกองทัพอินเดียระบุว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นการตอบสนองต่อข่าวกรองที่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธใกล้หมู่บ้าน New Samtal ทำให้มีการเปิดฉากปฏิบัติการในวันที่ 14 พฤษภาคม และเกิดการยิงตอบโต้กัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย ในแถลงการณ์ของอินเดีย ระบุเพียงว่าผู้เสียชีวิตเป็น “กลุ่มติดอาวุธในเครื่องแบบพรางตัว” โดยไม่ได้ยืนยันสัญชาติหรือสังกัดที่ชัดเจน แต่มีการส่งมอบร่างของผู้เสียชีวิตให้แก่เจ้าหน้าที่เมียนมาแล้ว

ในการสู้รบครั้งนี้ กองทัพอินเดียสามารถยึดอาวุธได้หลายรายการ ได้แก่ ปืน AK-47 จำนวน 7 กระบอก, RPG หนึ่งกระบอก, M-4 Carbine หนึ่งกระบอก, ปืนไรเฟิลแบบยิงทีละนัดอีก 4 กระบอก และกระสุนหลากหลายชนิด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากฝ่ายเมียนมา โดยเฉพาะจากผู้ใกล้ชิดกับกองกำลังในเขต Tamu รวมถึงผู้ที่เก็บกู้ศพในเหตุการณ์ เปิดเผยกับ BBC ว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 10 คนเป็นสมาชิกของกองกำลังประชาชนต่อต้านเผด็จการจากเขต Tamu ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายหรือกลุ่มติดอาวุธข้ามชาติ

แหล่งข่าวคนหนึ่งกล่าวว่า “Assam Rifles ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ” และยืนยันว่า “นักรบฝ่ายเมียนมามีสัญลักษณ์บนแขนชัดเจน รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่กลุ่มก่อการร้าย”

ข้อมูลทั้งสองฝ่ายจึงมีความขัดแย้งกันอย่างชัดเจน โดยฝ่ายอินเดียมองว่าเป็นการสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธที่ไม่สามารถระบุสังกัดได้แน่ชัด ขณะที่ฝ่ายเมียนมายืนยันว่าเป็นนักรบประชาธิปไตยที่ลี้ภัยมาในฝั่งอินเดียและไม่ได้ก่อเหตุใด ๆ ในฝั่งอินเดียก่อนที่จะถูกสังหาร

เหตุการณ์นี้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความปลอดภัยของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเมียนมาที่ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน และตั้งคำถามถึงบทบาทของอินเดียในวิกฤตการเมืองเมียนมาที่กำลังยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

อ้างอิง: BBC Burmese

นักโทษการเมืองเมียนมาเผชิญภาวะขาดสารอาหารทั่วประเทศ หลังเจ้าหน้าที่เรือนจำลดปริมาณอาหาร อ้างงบไม่พอ

เครือข่ายนักโทษการเมืองเมียนมา (Political Prisoners Network Myanmar – PPNM) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว DVB ว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำได้ลดปริมาณอาหารของนักโทษตลอดช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โดยอ้างเหตุผลเรื่องงบประมาณที่ลดลง

ที่เรือนจำ Myingyan ในเขต Mandalay พบว่านักโทษเกือบ 200 คน หรือประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากภาวะขาดสารอาหาร ตามที่ PPNM ได้บันทึกไว้

“พวกเขาตัดเนื้อสัตว์ออกทั้งหมด แล้วแทนที่ด้วยไข่” นาย Thaik Tun Oo โฆษกของ PPNM ระบุ

สมาคมนักโทษการเมืองรัฐกะเหรี่ยง (Karenni Political Prisoners Association – KPPA) รายงานเมื่อเดือนมกราคมว่า นักโทษการเมือง 20 คนในเรือนจำ Loikaw ประสบภาวะขาดสารอาหาร นักโทษในเรือนจำหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงที่ Loikaw รายงานว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา อาหารที่ได้รับไม่มีเนื้อสัตว์เลย หรือหากมี ก็มักจะสุกไม่ทั่วและอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม

เรือนจำในเมือง Meiktila และ Obo ของ Mandalay, ศูนย์เยาวชน Patheingyi, เรือนจำ Paungde และ Daik-U ในเขต Bago รวมถึงเรือนจำ Pathein ในเขต Ayeyarwady ล้วนรายงานปัญหาอาหารที่ลดปริมาณลงเช่นกัน

ขณะนี้ สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (Assistance Association for Political Prisoners – AAPP) ระบุว่า มีนักโทษการเมืองในเมียนมารวม 22,106 คน ทั่วประเทศ สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความกังวลอย่างหนักเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะในกลุ่มนักโทษการเมืองที่ถูกควบคุมตัวภายหลังการรัฐประหารในปี 2021 และยังคงถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมภายในระบบเรือนจำของเมียนมา

อ้างอิง: DVB English

เมียนมาสั่ง 28 บริษัทจัดหางานต่างประเทศจ่ายภาษีค้างก่อนสิ้นเดือน พ.ค. – หลังกระบวนการออกบัตรแรงงานสะดุดเพราะแผ่นดินไหว

กระทรวงแรงงานของรัฐบาลทหารเมียนมาได้ออกคำเตือนไปยังบริษัทจัดหางานต่างประเทศ 28 แห่ง ให้ชำระภาษีค้างชำระจากปีที่แล้วภายในวันที่ 31 พฤษภาคม มิเช่นนั้นจะถูกขึ้นบัญชีดำ ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวในอุตสาหกรรมจัดหางาน

“เราต้องจ่ายภาษีตรงเวลาอยู่แล้ว ถ้ากระทรวงเร่งกระบวนการตรวจคัดกรองแรงงานให้เร็วขึ้นก็น่าจะช่วยได้มาก” ตัวแทนบริษัทจัดหางานต่างประเทศรายหนึ่งกล่าวกับ DVB โดยขอสงวนนาม

แหล่งข่าวระบุว่า บริษัทจัดหางานต้องชำระภาษีในอัตรา 5% ของค่าบริการแรงงานแต่ละราย จากตัวเลขของกระทรวงที่เผยแพร่เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม พบว่า มีบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตจัดหางานต่างประเทศกว่า 600 แห่ง แต่มีเพียง 485 บริษัท ที่ส่งแรงงานออกไปต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 131,501 คน ในปีที่ผ่านมา

เจ้าของบริษัทจัดหางานหลายรายเปิดเผยกับ DVB ว่า การชะลอตัวของกระบวนการตรวจแรงงานภายหลังเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ส่งผลให้มีแรงงานจำนวนหนึ่งสูญเสียงาน เนื่องจากไม่สามารถกลับไปทำงานได้ทันตามกำหนด

แรงงานที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศจำเป็นต้องยื่นขอ บัตรประจำตัวแรงงานต่างประเทศ (Overseas Worker Identification Card – OWIC) ตามพระราชบัญญัติการจ้างงานต่างประเทศปี 1999 โดยบัตร OWIC มีอายุ 5 ปี และใช้ในการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ กระทรวงแรงงานจะเก็บข้อมูลของผู้ถือบัตรไว้อย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม กระบวนการออกบัตร OWIC ล่าช้า เนื่องจากสำนักงานกระทรวงแรงงานใน Naypyidaw ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว โดย Naypyidaw ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหวในภูมิภาค Sagaing ประมาณ 277 กิโลเมตร

แรงงานต่างชาติรายหนึ่งซึ่งเดินทางกลับจาก Singapore เพื่อขอต่ออายุ OWIC เปิดเผยกับ DVB ว่าเขาสูญเสียงาน เพราะไม่สามารถเดินทางกลับไปทำงานได้ทันเวลา เนื่องจากการออกบัตรล่าช้า เมื่อเดือนเมษายน กรมแรงงานภายใต้กระทรวงฯ ระบุว่า สามารถดำเนินการตรวจแรงงานได้เพียง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เท่านั้น โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีแรงงานกว่า 3,200 คน ที่ผ่านการตรวจและได้รับบัตร OWIC

การออกบัตร OWIC กลับมาดำเนินการอีกครั้งในวันที่ 20 มีนาคม หลังหยุดไปหนึ่งเดือน และแผ่นดินไหวรุนแรงก็เกิดขึ้นในวันที่ 28 มีนาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4,477 ราย และบาดเจ็บ 11,366 ราย ตามข้อมูลของ DVB

อ้างอิง: DVB English

คนงานเหมืองฮะปากันแห่งรัฐกะฉิ่น ลุกฮือประท้วงต้านรัฐประหาร พร้อมชูป้าย “Vote ILO Article 33 to SAVE LIVES” เรียกร้องความช่วยเหลือจากประชาคมโลก

วันนี้ (21 พฤษภาคม) คนงานเหมืองในเมืองฮะปากัน รัฐกะฉิ่น ประเทศเมียนมา รวมตัวกันจัดการประท้วงต่อต้านการรัฐประหารอย่างกล้าหาญ ท่ามกลางสถานการณ์กดดันและความเสี่ยงสูง โดยพวกเขาชูแบนเนอร์ข้อความว่า “Vote ILO Article 33 to SAVE LIVES” ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้ประชาคมโลกและองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ใช้บทบัญญัติมาตรา 33 เพื่อดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับรัฐบาลทหารเมียนมา

ILO Article 33 เป็นมาตรการลงโทษสูงสุดตามข้อกำหนดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถใช้กับประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนแรงงานอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยในกรณีของเมียนมา การปราบปรามคนงาน สหภาพแรงงาน และการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลังรัฐประหารเมื่อปี 2021 ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตแรงงานอย่างรุนแรง

การลุกขึ้นของแรงงานเหมืองในครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า เสียงของประชาชนในเมียนมายังคงไม่เงียบ และต้องการให้โลกภายนอกหันมาให้ความสนใจและลงมือช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

อ้างอิง: Naingnaingaung on X

Contributors

Friends Without Borders

มูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน