“ลูกฟักจะจมน้ำ แล้วก้อนหินจะลอยอยู่เหนือน้ำ…” ทุกปีในวันที่ 12 สิงหาคม หรือวันมาทูร่าของชาวปกาเกอะญอ เนื้อเพลงท่อนนี้จะดังก้องขึ้นเพื่อสรรเสริญและไว้อาลัยแก่ ซอ บะอูจี* เพื่อรำลึกถึงการจากไปของวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้ ทุกครั้งที่ได้ยินบทเพลงนี้ ฉันมักย้อนคิดถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน เพลงเพลงนี้นี่เองที่ทำให้ครอบครัวของฉันต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
วันหนึ่งในตอนที่ฉันยังอายุห้าขวบ ทหารพม่าได้เดินทางเข้ามายังหมู่บ้านของฉัน พวกเขาจับพ่อ ปู่และลุงของฉันมัดรวมกับคนอื่น ๆ เป็นแถวยาวเหมือนรถไฟแล้วจูงเหมือนวัวเหมือนควาย แม่ ป้า และญาติ ๆ ของฉันต่างก็ร้องห่มร้องไห้จนวันนั้นทั่วทั้งหมู่บ้านมีแต่เสียงร่ำไห้
ฉันถามแม่ว่า “เขาจะพาพ่อไปที่ไหน”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจับพ่อไปฆ่า หรือจับไปขังคุกที่ไหน” แม่ตอบฉันด้วยน้ำตา…
พ่อและคนอื่น ๆ ถูกจับขึ้นเรือไปโดยที่ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน เรือค่อย ๆ ลอยห่างออกจากหมู่บ้านของเรา ในที่สุดก็มีเสียงปืนดังขึ้น ปัง ปัง ปัง ปัง… เมื่อสิ้นเสียงปืน เสียงที่ดังตามมาคือเสียงหวีดร้องร่ำไห้ของคนบนฝั่ง เสียงเหล่านี้ดังมาจากผู้หญิงที่สงสัยว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นหญิงม่าย และเสียงของผู้เป็นแม่ที่วิตกกังวลว่าจะต้องเสียลูกไป ทุกวันนี้เสียงร้องไห้เหล่านั้นก็ยังไม่อาจลบเลือนไปจากหูของฉันได้
เวลานั้นฉันคิดแต่เพียงว่าเสียงปืนที่ดังขึ้นจะฆ่าพ่อของฉันไปด้วยหรือไม่ “พ่อ… พ่อ…” ฉันเฝ้าตะโกนอยู่อย่างนั้นจนสุดเสียง แต่ขณะที่ฉันร้องไห้และตะโกนอยู่นั้นแม่กลับร้องไห้เสียงดังกว่า ในที่สุดแม่ของฉันก็หยุดร้องและปาดน้ำตาที่เปื้อนแก้มแล้วบอกกับฉันว่า “เราหยุดร้องไห้กันเถอะ ดูสิแม่ยังไม่ร้องเลย เชื่อสิว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น จะต้องมีสักวันที่จะเป็นอย่างบทกวีของคนเฒ่าคนแก่เคยว่าไว้‘ลูกฟักจะจมน้ำ แล้วก้อนหินจะลอยอยู่เหนือน้ำ…’”
เมื่อฉันโตขึ้นฉันจึงถามแม่ว่าทำไมทหารเหล่านั้นถึงมาจับตัวพ่อไป แม่กระซิบตอบฉันเบา ๆ ว่า คืนวันหนึ่งพ่อ ปู่ และลุงอีกสองคนได้ฟังเพลง “ลูกฟักจะจมน้ำ แล้วก้อนหินจะลอยอยู่เหนือน้ำ” ของศิลปินที่ชื่อว่า ช่าเก่โด้ ซึ่งเอาบทกวีของคนโบราณมาใส่ทำนองร้องเป็นเพลง เมื่อทหารผ่านมาได้ยินพวกเขาจึงจับกุม พ่อ ปู่ และลุงในข้อหาฟังเพลงที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ตอนนั้นฉันสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดเพลงนี้จึงเป็นสิ่งต้องห้าม แม่อธิบายว่าเนื้อหาของเพลงนี้บอกว่า เราคนปกาเกอะญอเปรียบเหมือนก้อนหินที่ถูกกดขี่ข่มเหง เราหวังว่าจะมีสักวันที่ก้อนหินจะลอยขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำ คนที่กดขี่ข่มเหงเราก็เหมือนกับลูกฟักที่จะจมน้ำลงไป
ต่อมาไม่นานฉันก็ได้รู้ว่าเสียงปืนที่ดังก้องท้องทะเลในวันนั้นไม่ได้ปลิดชีพพ่อ ปู่และลุงของฉัน พวกเขาถูกพาไปยังเรือนจำและถูกจำคุกเจ็ดปีสี่เดือน ห้าปีต่อมาปู่ของฉันที่แก่มากแล้วได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อน แต่กระนั้นแม่ก็ยังต้องทำหน้าที่เลี้ยงพวกเราพี่น้องด้วยความยากลำบาก ช่วงเวลานั้นฉันได้แต่เฝ้าอธิษฐานขอให้พ่อของฉันออกมาจากคุกในเร็ววัน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะแรงอธิษฐานหรือเหตุผลใด ในที่สุดพ่อของฉันก็ได้ออกมาจากคุกหลังจากปู่ไม่นานนัก วันที่พ่อของฉันได้ออกจากคุกเป็นวันที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับก้อนหินที่ได้ลอยขึ้นเหนือน้ำจริง ๆ
ถึงแม้พ่อ ปู่ และลุงของฉันจะได้รับการปล่อยตัว แต่อีกหลายคนที่ถูกจับไปพร้อมกันยังต้องติดคุกนานกว่าสิบ ปี คนเหล่านั้นถูกจับในฐานะนักรบทางการเมือง และคนที่ทำงานข่าวต่าง ๆ ฉันได้แต่หวังว่าพวกเขาจะหลุดพ้นจากการถูกคุมขังโดยเร็ว ถึงวันนั้นฉันจะยกย่องความกล้าหาญของพวกเขาด้วยบทเพลง “ลูกฟักจะจมน้ำ แล้วก้อนหินจะลอยอยู่เหนือน้ำ”
ฉันเฝ้าหวังว่าสักวันหนึ่งประเทศพม่าจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย การปกครองด้วยอำนาจเผด็จการจะล่มสลายลง วันนั้นทุกคนจะได้หลุดพ้นจากการกดขี่ข่มเหง และมีชีวิตอยู่อย่างอิสระเสรี