“ขอให้ทางเจ้าหน้าที่ไทย ช่วยอธิบายให้พี่น้องเราฟังด้วยว่า ขณะนี้เหตุการณ์ในตัวเมืองเมียวดีและทางด้านเหนือของสะพานเป็นปกติแล้ว พี่น้องสามารถเดินทางกลับบ้านได้ พี่น้องที่มีบ้านเรือนอยู่แถวนั้น สามารถเดินทางกลับบ้านได้แล้ว”
เสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงสลับไปมาสองภาษา ไทย และ พม่า ดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหล ผู้ลี้ภัยบางส่วนเริ่มเก็บข้าวของสัมภาระ หลายคนทูนของขึ้นบนหัว จูงมือลูกหลานเดินออกจากสนามกองร้อย ตชด. 346 โดยไม่รอรถบรรทุกที่เจ้าหน้าที่ไทยจัดไว้ให้ คนจำนวนมากโทรศัพท์หาญาติพี่น้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอีกฟากของแม่น้ำสงบแล้ว … ตามคำบอกผ่านเครื่องขยายเสียง ทว่าที่นี่มีแต่ความเคลื่อนไหว วุ่นวาย เร่งรีบ
แม้กลางแดดจ้า ช่วงเวลาการแจกอาหารกลางวันจะเซ็งแซ่สับสน ในเต็นท์สีน้ำเงิน หนูน้อยเล เล แล ที่เพิ่งลืมตามดูโลกมาได้เพียง 14 วันนอนสงบอบอุ่นอยู่บนอกของน้าชาย ใบหน้าเธอเหมือนจะมีแสงสว่างสดใส ตามความหมายของชื่อที่พ่อตั้งไว้
ครอบครัวของเล เล แล เป็นชาวกะเหรี่ยงโปว์ที่อาศัยอยู่ขอบเมืองเมียวดี พวกเขามีอาชีพทำไร่สวนตามฤดูกาล ตอนนี้ข้าวโพดในไร่กำลังรอเก็บเกี่ยว ด้วยเหตุผลนี้ พ่อของเล เล แล จึงต้องอยู่เฝ้าไร่ ไม่ได้หนีข้ามแม่น้ำมากับแม่ น้าชาย และพี่ ๆ ของเธอ
เล เล แล เดินทางออกจากบ้านแต่เช้ามืดของวันจันทร์ที่ 8 ด้วยเห็นว่าเหตุการณ์เมืองเมียวดีกำลังตึงเครียด พวกเขาต้องคอยหลบฟังข่าวอยู่ตลอดเวลา แม่ของเล เล แล ที่เพิ่งคลอดลูกได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ ต้องอุ้มลูกอ่อนมาด้วยอย่างยากลำบาก พวกเขาใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ กว่าจะข้ามแม่น้ำเมยมาฝั่งไทยได้ก็เย็นแล้ว เมื่อข้ามมาก็ได้แต่เดินอย่างไร้จุดหมาย จนได้พบกับรถขององค์กรการกุศลที่ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่พามาส่ง ณ พื้นที่ที่พักอยู่ขณะนี้
“เราไม่ได้เต็มใจขึ้นรถมาเท่าไหร่ เพราะกลัวเหมือนกัน กลัวไปต่าง ๆ นานา เราไม่รู้จักรถนี้ว่ามาจากไหน กลัวเขาจะพาเราไปขาย…”แม่ของเล เล แล บอกถึงความกังวลในใจขณะนั้น
ความกังวลนั้นคลายไปเมื่อแม่ของเล เล แลพบว่า สถานที่ที่พวกเธอถูกนำมาส่ง เป็นที่พักที่จัดไว้ให้ผู้ลี้ภัยสงครามจากเมียวดีและมีเพื่อนผู้ลี้ภัยเชื้อชาติต่าง ๆ มากมายอยู่ที่นี่ด้วย อาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าที่เห็นว่าเธอมีเล เล แลมาด้วย พวกเขาจึงจัดให้เธอได้พักอยู่ในเต็นท์รูปโดมที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวตามขอบสนามหญ้ากว้าง สัมภาระที่นำติดตัวมาเท่าที่จะหอบได้ไม่เยอะนัก แต่ก็มากพอที่จะทำให้สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดได้นอนเบียดแน่นในเต็นท์จนหายหนาว “โชคดีที่เมื่อคืนไม่หนาวมาก และเราก็ได้นอนในเต็นท์ ไม่เหมือนคนอื่น เขาจะลำบากกว่า” แม่ของเล เล แลบอกพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ยังเจือกังวล
ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ ครอบครัวของเล เล แลได้รับอาหารที่แม้จะไม่อิ่มเต็มที่ แต่ก็พอให้อยู่ได้ในภาวะฉุกเฉิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมียวดี แม้ชาวเมืองจะพอคาดเดาจากสภาพความตึงเครียดตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งพม่า แต่พวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าจะหนักหนาสาหัสขนาดนี้ แม่ของเล เล แลไม่ได้สนใจข่าวสารการเลือกตั้งมากนัก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในเขตเลือกตั้งของเธอ เธอจะต้องเข้าหรือควรเข้าไปเลือกผู้สมัครคนใด ต่างจากครั้งการเลือกตั้งในสมัยที่ยายของ เล เล แล ไปเลือกเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ตอนนั้นยายของเล เล แล ยังรู้ว่าพรรคไหนเป็นของผู้นำคนใด นั่นคือความทรงจำในวัย 7 ขวบของเธอ และบัดนี้ลูกสาวคนโตของเธอก็อายุได้ 7 ขวบแล้ว
“เหตุการณ์ปกติหรือ.. ฉันยังอยากจะรอฟังข่าวอยู่ที่นี่ก่อน” เธอพูดขึ้น ทอดสายตามคนที่กำลังเก็บข้าวของเดินผ่านเพื่อไปขึ้นรถบรรทุกที่จะนำไปส่งที่ท่าเรือ พวกเขากำลังจะเดินทางไปที่ท่าข้ามเรือต่าง ๆ ที่เป็นจุดผ่อนปรนให้คนกลับได้
บ่ายวันนั้น 9 พ.ย. ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ด่านเปิดให้คนเข้าไปถึงตัวตลาดริมเมยและท่าข้ามต่าง ๆ ทหารที่เหนื่อยกับการเฝ้ารักษาแนวชายแดนเริ่มนอนหลับพักผ่อนเอาแรง บรรยากาศท่าเรือคึกคัก พลุกพล่านไปด้วยทหาร ต.ม.ตำรวจ นักข่าว และชาวเมืองแม่สอดที่นำอาหารมาแจกให้กับผู้กำลังจะกลับบ้าน
“เมื่อเช้าได้ยินเสียงปืนประปราย แต่บ่ายนี้เงียบ” ทหารเกณฑ์หน้าเข้มตาแดงก่ำจากการอดนอนบอก
“ไว้ใจไม่ได้หรอก…เห็นเขาเล่าว่ายังยิงกันอยู่ตลอดชายแดนตั้งแต่กาญจนบุรียันแม่ฮ่องสอน” มอเตอร์ไซค์รับจ้างคนหนึ่งทักขึ้น
“ดีที่คราวนี้มีตายแค่ไอ้สงกรานต์ ถูกสะเก็ดปืนขาดสองท่อน” แม่ค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์และเอ่ยถึงหมาเคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตจากสงครามครั้งนี้ แกเดินจากไปพร้อมกับทิ้งประโยคที่ฟังแล้วขนลุกไว้ว่า “หวังว่าประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอยเมื่อ 20 ปีก่อนอีกนะ” นั่นคือการสู้รบครั้งใหญ่ที่กระสุนปืนใหญ่ลอยเข้ามาตกกลางตลาดริมเมย
เย็นย่ำตะวันลับหาย ทิ้งขอบฟ้าให้เหลือเพียงแสงแดงหม่น กองผ้าใบและโครงเหล็กเกะกะริมขอบสนามหญ้า ใจกลางสนามยังมีผู้ลี้ภัยราว 500 คนกำลังนั่งฟังชายในเครื่องแบบราชการไทยหลากหลายชุดเจรจาอยู่ เล เล แล และแม่ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้ จะกลายเป็นเรื่องเล่าของวันหน้า และเรื่องเล่าของอดีตในวันนี้ ก็จะเหมือนประวัติศาสตร์เก่าแก่ เมื่อเล เล แล โตขึ้น เธอจะเล่าให้ลูกหลานฟังว่าอย่างไร ถึงเรื่องจริงที่เกิดหลังการเลือกตั้งที่จัดขึ้นในประเทศพม่าครั้งนี้ และหลังจากเลือกตั้งครั้งที่แม่เธอยังเป็นเด็ก
เผยแพร่ครั้งแรก พฤศจิกายน 2553